เราถาม ChatGPT ว่า: กระแส AI ครั้งนี้คือฟองสบู่ Dot Com ยุคใหม่หรือไม่? 

2025-11-06 | ChatGPT , พลวัตของตลาด , ฟองสบู่ , วิเคราะห์ตลาดประจำสัปดาห์ , หุ้น AI

คำตอบสั้นๆ คือ ยังไม่ใช่… อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงตอนนี้ แต่เรากำลังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ  

กระแส AI กำลังร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ ชิปใหม่ๆ โมเดลที่ฉลาดขึ้น และมูลค่าตลาดระดับล้านล้านดอลลาร์เกิดขึ้นทุกหนแห่ง 

นักลงทุนเรียกมันว่า “อินเทอร์เน็ตรุ่นถัดไป” แต่ประวัติศาสตร์กำลังส่งสัญญาณเตือนว่า เราเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว  

จากหุ้น AI ที่พุ่งขึ้นจนกราฟแทบจะเป็นเส้นโค้งพาราโบลา คล้ายกับฟองสบู่ Dot Com ปี 1999 ความคล้ายคลึงนั้นยากจะมองข้ามได้ 
คำถามคือ กระแส AI Boom ครั้งนี้จะจบลงด้วยการปรับฐานอย่างนุ่มนวล หรือจะกลายเป็น วิกฤตเทคโนโลยีครั้งใหญ่ กันแน่ 

มาดูไปพร้อมกันกับกราฟ ข้อมูลจริง และมุมมองจากบุคคลสำคัญอย่าง Bill Gates และ Jerome Powell ประธานเฟด ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับความคลั่งไคล้ AI ในยุคนี้ 

กระแส AI Boom ชวนให้นึกถึงอดีต 

การพุ่งขึ้นของหุ้นในกลุ่ม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดูคล้ายกับฟองสบู่ในปี 1999 อย่างน่าประหลาด 
ในเวลานั้น “อินเทอร์เน็ต” คืออนาคต แต่วันนี้ “AI” คืออนาคตใหม่ 

ในทั้งสองยุค นักลงทุนทุ่มเงินมหาศาลเข้าสู่โมเดลธุรกิจที่ยังไม่ได้พิสูจน์ความสำเร็จ 
ครั้งนั้นคือเว็บไซต์ ส่วนครั้งนี้คือศูนย์ข้อมูล ชิป และอัลกอริทึม  

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกระแสความร้อนแรงจะจบลงเหมือนกัน 
ต่างจากฟองสบู่ Dot Com Boom ผู้นำในยุค AI อย่าง Nvidia, Microsoft, AMD, Amazon และ Alphabet ล้วนเป็นบริษัทที่มีกำไรและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง 
นั่นคือความแตกต่างสำคัญจากฟองสบู่ปี 2000 ซึ่งในตอนนั้นบริษัทจำนวนมากยังแทบไม่มีรายได้ด้วยซ้ำ 

เรายังอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นแบบพาราโบลาก่อนหรือไม่ 

ลองดูกราฟนี้สิ 

กระแสการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม AI ตอนนี้ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของปี 2000 เมื่อเทียบกับฟองสบู่ Dot Com 
นั่นหมายความว่า เราอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดการปรับฐานใหญ่ในตลาดหุ้น AI 

นี่คือพฤติกรรมเดียวกันกับตอนที่ฟองสบู่อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในอดีต 

  • หุ้นเทคโนโลยีปรับขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของปี 1999  
  • จากนั้น Tech Crash ก็ทำให้ดัชนี Nasdaq ร่วงลงถึง 78% ภายในสิ้นปี 2002  

ดังนั้น แม้เรายังไม่ถึงจุดสูงสุดของรอบนี้ แต่รูปแบบที่เกิดขึ้นกลับดูคุ้นตาอย่างมาก ราวกับกำลังจะเกิด “การพุ่งขึ้นก่อนการย่อตัวครั้งใหญ่” อีกครั้ง  

อัตราส่วน Nasdaq ต่อ Dow: ภาพซ้ำของปี 2000 

อัตราส่วน Nasdaq-to-Dow บอกเรื่องราวที่ชัดเจน  

หุ้นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำผลตอบแทนได้เหนือกว่าหุ้นอุตสาหกรรมและการเงินอย่างทิ้งห่าง คล้ายกับช่วง Dot Com Boom ในอดีต 

ทุกครั้งที่อัตราส่วนนี้พุ่งแรงขนาดนี้ ประวัติศาสตร์มักบ่งชี้ว่าการปรับฐานกำลังจะตามมา 
อย่างไรก็ตาม รอบนี้มีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะฟองสบู่ AI Bubble ถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจริง ไม่ใช่แค่ความฝันบนกระดาษ   

ทั้ง คลาวด์คอมพิวติ้ง ศูนย์ข้อมูล และความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้น ล้วนสร้างการเติบโตที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงภาพลวงตาทางเทคโนโลยี 

อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในหุ้น AI ชั้นนำอย่าง Nvidia, Microsoft และ AMD ก็อาจหมายความว่าหากตลาดเริ่มชะลอตัว ผลกระทบจะรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

Bill Gates เตือนถึงฟองสบู่ AI ระยะเริ่มต้น 

แม้แต่ Bill Gates ก็เห็นสัญญาณว่าฟองสบู่ AI อาจกำลังก่อตัวขึ้น 
เขากล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนนี้ว่า เรากำลังอยู่ใน “ช่วงเริ่มต้นของฟองสบู่ AI” 

เหตุผลของเขาคือ มีสตาร์ทอัพจำนวนมากที่กำลังวิ่งตามเป้าหมายเดียวกัน พวกเขากำลังสร้าง เครื่องมือ AI ที่อาจไม่สามารถทำกำไรได้ในอนาคต 
และหากย้อนดูประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่บริษัทต่างๆ เริ่มประกาศว่า “เราขับเคลื่อนด้วย AI” มักจะเกิดการคัดกรองครั้งใหญ่ในตลาดตามมา 

แต่ Gates ก็เสริมด้วยว่า ในรอบนี้ “ผู้ชนะจะยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” 
เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Google รอดพ้นจากวิกฤต Dot Com Crash ไปได้ หุ้น AI ชั้นนำเพียงไม่กี่ตัวในตอนนี้อาจกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางของทศวรรษหน้า 

เขากล่าวไว้ว่า: “เราจะได้เห็นการล้มเหลว แต่ผู้ที่อยู่รอดจะเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ให้กับทุกสิ่ง” 

Powell โต้กลับ: “AI ยังไม่ใช่ฟองสบู่” 

Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เห็นต่าง 
เขากล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า AI ไม่ใช่ฟองสบู่เหมือนยุค Dot Com 

เหตุผลของเขาคือ การเติบโตด้านผลิตภาพในปัจจุบันสามารถวัดผลได้จริง 
AI ไม่ได้เป็นเพียงกระแส hype แต่กำลังขับเคลื่อนการลงทุนในภาคธุรกิจจริง โดยเฉพาะในด้านระบบอัตโนมัติ โลจิสติกส์ และซอฟต์แวร์ 

มุมมองของ Powell สอดคล้องกับจุดยืนของเฟดที่มองว่า กระแส AI Boom ในตอนนี้มีรากฐานจากโครงสร้างจริงมากกว่าการเก็งกำไร 
กล่าวโดยสรุป แม้ว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ในระดับสูง แต่ปัจจัยพื้นฐานก็แข็งแกร่งกว่ายุคปี 1999 มาก 

อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่มักดู “มีเหตุผล” เสมอก่อนที่มันจะแตก 

ทำไมฟองสบู่ AI อาจยังไม่แตกในเร็วๆ นี้ 

ดังนั้น ฟองสบู่ AI จะระเบิดหรือไม่ 
คำตอบคือ ยังไม่ใช่ตอนนี้ 

หากดูจากประวัติศาสตร์ ฟองสบู่มักไม่เคยจบลงอย่างเงียบๆ 
โดยทั่วไป มักจะจบด้วยช่วง พุ่งสุดแรง ซึ่งเป็นรอบที่ตลาดดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงก่อนที่ความจริงจะเริ่มตามมา 

ตอนนี้ตลาดยังไม่แสดงสัญญาณของเฟสดังกล่าว 
สภาพคล่องยังคงสูง กำไรของบริษัทในกลุ่ม หุ้น AI ชั้นนำ ยังเติบโตต่อเนื่อง และนักลงทุนรายย่อยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวของกระแส FOMO 

พูดอีกอย่างหนึ่ง ฟองสบู่ AI อาจแตกในอนาคต แต่เวลานั้นยังมาไม่ถึง 
เราอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นอีกระลอก โดยเฉพาะหากมีการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2025 

หุ้น AI ชั้นนำที่เป็นแรงขับเคลื่อนของกระแส 

หากคุณเปิดดูรายชื่อหุ้นในกลุ่ม AI จะพบว่ามีชื่อเด่นอยู่ไม่กี่บริษัท เช่น 
Nvidia, AMD, Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta 

หุ้นเหล่านี้รวมกันครองสัดส่วนขนาดใหญ่ของผลตอบแทนในดัชนี S&P 500 ปีนี้ 
แต่ความแข็งแกร่งนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง หากบริษัทใดบริษัทหนึ่งเริ่มอ่อนแรง ตลาดหุ้น AI ทั้งระบบก็อาจปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว 

นักลงทุนจำนวนมากยังแห่เข้าซื้อหุ้นของผู้ผลิตชิปรายย่อยและบริษัทซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติ ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมการเก็งกำไรที่คล้ายกับช่วงฟองสบู่ Dot Com Bubble 
แต่แน่นอน ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะรอด 

กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ 

หากคุณกำลังสงสัยว่าจะลงทุนในกลุ่ม Artificial Intelligence อย่างปลอดภัยได้อย่างไร คำตอบคือ สมดุล แทนที่จะไล่ตามกราฟพุ่งแรง ลองมองหาบริษัทที่มี กระแสเงินสดจริง และมีการนำเทคโนโลยีไปใช้จริงในตลาด 

หลีกเลี่ยงหุ้นที่ถูกปั่นกระแสแต่แทบไม่มีรายได้ เพราะนั่นคือจุดที่ความเสี่ยงของ ฟองสบู่ AI ซ่อนอยู่ ความหลากหลายของพอร์ตและความอดทนสำคัญกว่าการพยายามจับจังหวะสูงสุดของตลาด 

ดังที่ Bill Gates กล่าวไว้ ผู้ชนะในรอบนี้อาจกลายเป็นบริษัทมูลค่าล้านล้านดอลลาร์รุ่นใหม่ 
แต่เส้นทางนั้นย่อมเต็มไปด้วยความผันผวน 

อะไรที่ทำให้รอบนี้ต่างจากปี 1999 

แม้กระแสจะดูคล้ายกัน แต่ความแตกต่างสำคัญระหว่างตอนนี้กับฟองสบู่ Dot Com Bubble คือ  

  • บริษัทอย่าง Nvidia และ Microsoft มีกำไรจริง  
  • การนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานจริงกำลังสร้างผลผลิตที่จับต้องได้  
  • เงินทุนทั่วโลกกระจายตัวมากขึ้น  

หากย้อนกลับไปในปี 1999 อินเทอร์เน็ตยังเป็นเพียง “คำสัญญา” 
แต่ในวันนี้ AI ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมจริงแล้ว  

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเราปลอดภัย เพราะหากเกิด การปรับฐานของหุ้น AI มันอาจดูเหมือนการหมุนเวียนของเงินลงทุน มากกว่าการพังทลายของตลาดทั้งหมด 

บทสรุป ฟองสบู่ที่ยังอยู่ในระหว่างขยายตัว 

ดังนั้น คำถามคือ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในฟองสบู่ AI หรือไม่ 
คำตอบคือ ใช่ แต่อยู่ในช่วงที่ฟองสบู่กำลังพองตัว 

ทุกการปฏิวัติเทคโนโลยีย่อมมาพร้อมกับการเก็งกำไร 
ฟองสบู่ปี 1999 ทำให้บริษัทหลายพันแห่งล่มสลาย แต่ก็เปิดทางให้กับยักษ์ใหญ่ระดับล้านล้านดอลลาร์ในเวลาต่อมา 

AI Boom ครั้งนี้อาจเดินตามเส้นทางเดียวกัน 
มูลค่าหุ้นบางส่วนอาจลดลง แต่ “นวัตกรรม” จะยังคงอยู่ต่อไป 

เราน่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของฟองสบู่ ไม่ใช่จุดจบ 
และหากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การปรับฐานที่เจ็บปวดที่สุด มักเกิดขึ้นหลังจากช่วงที่ตลาดเติบโตสูงสุดเสมอ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]